9 แบบ “เหลี่ยมเพชร” หายาก ที่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน

เมื่อได้รู้แล้วว่าเหลี่ยมเพชรไหนยายาก ทีนี้เราขอเสริมข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับคุณภาพของเหลี่ยมเพชร ถือเป็นหัวใจสำคัญส่งผลต่อความสวยงามของเพชร ในบรรดา 4C’s ต้องยอมรับเลยว่า Diamond Cut ถือเป็นเรื่องยากที่สุดในการวิเคราะห์ ในอดีตเพชรเบลเยี่ยมได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรที่มีคุณภาพด้านการเจียระไน แต่ทุกวันนี้สถาบัน GIA ได้แบ่งเกรดคุณภาพการเจียระไนออกเป็น 5 แบบ ได้แก่

  • Excellent
  • Very Good
  • Good Fair
  • Good
  • Poor

คุณทราบไหมว่า แบบ “เหลี่ยมเพชร” นอกจากจะมีเพชรกลม เพชรเหลี่ยม เพชรทรงวงรี เพชรทรงรูปหัวใจ หรือเพชรทรงพื้นฐานแบบต่างๆ ที่เคยได้พูดถึงไปแล้ว อันที่จริง ยังมีแบบเจียระไนเพชรหายากอีกหลากหลายแบบที่คุณยังไม่รู้จัก

               สำหรับร้านเพชรทั่วไปในเมืองไทย คุณก็อาจพบเจอแบบเหลี่ยมเพชรแฟนซีที่มีรูปแบบการเจียระไนเพชร ยอดนิยม อยู่ 12 แบบ ตัวอย่างเช่น เพชรกลม, เพชร Asscher, เพชร Cushion, เพชรสี่เหลี่ยม, หรือเพชร Princess เป็นต้น แต่อันที่จริงแล้ว บนโลกนี้ยังมีแบบการเจียระไนเพชรอีกมากมายนับร้อยแบบ แต่แบบ “เหลี่ยมเพชร” เหล่านี้กลับเป็นแบบที่หายาก ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก

               ความหายากนี้ไม่ใช่เพราะว่าแบบเหลี่ยมเพชรเหล่านั้นไม่เป็นที่นิยม แต่เป็นเพราะเหลี่ยมเพชรบางแบบมีความพิเศษมาก และได้มีผู้นำไปจดสิทธิบัตรและให้สิทธิ์การเจียระไนและจำหน่ายแค่แบรนด์บางแบรนด์เท่านั้น ทำให้เหลี่ยมเพชร เหล่านี้หายากและมีราคาสูง โดยเหลี่ยมเพชรเหล่านี้ จะเรียกว่า “Branded Diamond Cut”

               ทางเพชรชมพูอยากพาทุกคนไปค้นพบกับแบบเหลี่ยมเพชรใหม่ๆ เผื่อใครที่มีงบประมาณถึง ก็อาจลองสั่งทำแหวนเพชรในรูปแบบเหล่านี้ดูได้ (แต่ต้องสั่งกับแบรนด์ที่มีสิทธิ์เจียระไนเพชรแบบนั้นเท่านั้นนะคะ)จะมีแบบไหนถูกใจคุณบ้าง ไปดูกันเลย

1. Asprey Cut

               หากมองเผินๆ “เหลี่ยมเพชร” แบบ Asprey Cut จะดูคล้ายๆกับเพชรสี่เหลี่ยมทรง Cushion แต่จะมีลักษณะการเจียระไนเพชรที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

               เพชรทรง Asprey นี้ ถูกออกแบบโดยนักเจียระไนชั้นครูของโลกที่มีชื่อว่า Gabi Tolkowsky โดยเขาได้ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ของเหลี่ยมเพชร แล้วก็ตกหลุมรักเข้ากับเหลี่ยมแบบ Cushion ในสไตล์ของศตวรรษที่ 17 และ 19 ซึ่งทรงของเพชร Asprey จะไม่ได้ดูเหลี่ยมมากนัก แต่จะดูมีขอบมนมากขึ้น แล้วสลักตัวอักษร “A” ที่ขอบได้จนเป็นเอกลักษณ์

               นอกจากนี้ เพชร Asprey จะทำการเจียระไนได้ด้วยมือเท่านั้น ไม่ได้ใช้เครื่องเจียระไนเพชรเหมือนกับเหลี่ยมเพชร แบบอื่นๆ

               ทำให้ทรงเพชรแฟนซีแบบนี้ เป็นการนำเอาเพชร Cushion มาปรับโฉมใหม่ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น และทำให้เกิดการกระจายของแสงได้ดีที่สุด ด้วยเหลี่ยมเพชรถึง 61 เหลี่ยมด้วยกัน

               เหลี่ยมเพชรแบบ Asprey Cut จะคัดเฉพาะเพชรสีสวยในระดับ D-G เท่านั้น และมีระดับ Diamond Clarity ตั้งแต่ Flawless ไปจนถึง VS2 รวมถึงมีน้ำหนักกะรัตได้ตั้งแต่ 0.5-3 กะรัต หรือมากกว่า

2. Eighty-Eight Cut

               หากใครชอบใส่แหวนเสริมดวง เหลี่ยมเพชรทรง Eighty-Eight Cut ถือว่าเหมาะกับคุณที่สุด เพราะเพชรทรงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเชื่อเรื่องโชคลาภของชาวเอเชียเกี่ยวกับเลข 8 ที่ในภาษาจีนมีเสียงคล้ายกับคำว่าความมั่งคั่ง ความมีอำนาจ และโชคลาภในชีวิต

               โดยการเจียระไนเพชรแบบ Eighty-Eight Cut นี้ จะเจียระไนให้เพชรเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม และมีเหลี่ยมด้านทั้งหมด 88 ด้าน ออกแบบโดยแบรนด์ Finesse Diamonds

               เหลี่ยมเพชรทรงนี้จึงดูแปลกตากว่าเหลี่ยมเพชรทรงอื่นๆทั่วไปเพราะมีแปดเหลี่ยม อีกทั้งยังเสริมความโชคดีและดูมีประกายที่แตกต่างออกไปจากเพชรทรงกลมธรรมดา รวมถึงสามารถส่องประกายแสงออกมาได้แม้มีแสงตกกระทบแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยเทคนิคการเจียระไนเพชรชั้นครูที่ไม่เหมือนที่อื่น

3. Royal Asscher Cut

               “เหลี่ยมเพชร” แบบ Royal Asscher Cut ถือเป็นการอัพเดตเพชร Asscher ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยนาย Joseph Asscher ตั้งแต่ปี 1902

               โดยในปี 1999 นาย Edward และ Joop Asscher ซึ่งถือเป็นเหลนของนาย Joseph ได้กลับมาอัพเกรดเหลี่ยมเพชรให้ดูมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น

               โดยจากเดิม ที่เพชร Asscher จะมีเหลี่ยมเจียระไนทั้งหมด 58 เหลี่ยม เพชร Royal Asscher ได้เพิ่มเหลี่ยมเข้าไปอีก 16 เหลี่ยม ทำชั้นเหลี่ยมเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้น ส่วนป้านด้านบนสูงขึ้น และหน้าตัดเล็กลง รวมถึงตัวเพชรยังมีความสมมาตรอย่างสมบูรณ์ ก่อเกิดเป็นประกายเพชรที่มากยิ่งกว่าเพชรทรงสี่เหลี่ยมทั่วไป และมีความใสยิ่งกว่าเพชรทรงกลม

และเรียกได้ว่าเหลี่ยมเพชรแบบ Royal Asscher Cut คือ เหลี่ยมเพชรหายากของจริง เพราะมีเพียงน้อยกว่า 75 คนบนโลกเท่านั้นที่สามารถเจียระไนเพชรแบบนี้ออกมาได้ตามกำหนดทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่ว่าร้านเพชรใดก็สามารถทำได้

4. Ashoka Cut

               เหลี่ยมเพชรแบบ Ashoka Cut แท้จริงแล้วก็คือเพชร Cushion ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีมุมโค้งมน ออกแบบโดย William Goldberg Diamond Corporation ในปี 1999 โดยตั้งชื่อว่า Ashoka ตามเพชร Golconda น้ำหนัก 41.37 กะรัต D Flawless ที่ถูกค้นพบในภูมิภาค Golconda อันเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอโศกมหาราช และได้ถูกจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้ามาตั้งแต่ปี 2000

               การเจียระไนเพชรแบบ Ashoka Cut จะเจียให้มีเหลี่ยมทั้งหมด 62 เหลี่ยม โดยรูปแบบการเจียระไนเพชรเช่นนี้ จะทำให้ตัวเพชรดูใหญ่มากกว่าปกติและอาจจะใช้เวลาเจียระไนมากถึง 6 เดือนกว่าจะเสร็จ เนื่องจากการสรรหาเพชรดิบมาเจียระไนเพชรเช่นนี้ได้ จะต้องมีลักษณะที่ใหญ่กว่าและยาวกว่าเพชรส่วนใหญ่ จึงถือเป็นเพชรที่หายาก มีเพียงแค่ 10% ของเพชรดิบเท่านั้นที่จะเจอลักษณะเช่นนี้นั่นเองค่ะ

5. Jubilee Cut

               “เหลี่ยมเพชร” แบบ Jubilee Cut ถือเป็นเพชรทรงวินเทจที่ไม่ค่อยได้พบเห็นกันนัก เพราะมักใช้กับเพชรที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น อันจะยิ่งทำให้เพชรขนาดใหญ่ส่องประกายได้อย่างเจิดจ้า

               การเจียระไนเพชร Jubilee Cut จะเจียระไนออกมาให้มีรูปทรงพิเศษ โดยคุณลักษณะสำคัญก็คือการที่เพชรไม่มีหน้าตัดแนวนอน แต่จะเจียส่วนหัวเพชรให้เป็นเหลี่ยมมุม 8 เหลี่ยมในส่วนด้านบน โดยจะมีเหลี่ยมในการเจียระไนทั้งหมด 88 เหลี่ยม

               เพชรทรงนี้ถูกทำขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อเป็นเกียรติแก่วันครบรอบพระชนมพรรษา 50 ชันษา ของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ

               และด้วยความพิเศษที่เหลี่ยมเพชรแบบ Jubilee Cut ไม่มีก้นเพชร (Culet) รวมถึงเพชรไม่ได้มีทรงลึก จึงทำให้เพชรทรงนี้เป็นหนึ่งในเหลี่ยมเพชร ที่สามารถส่องประกายได้เจิดจ้าที่สุดและเรียกได้ว่าหายากมากๆ

6. Crisscut

               “เหลี่ยมเพชร” แบบ Crisscut นั้นมีลักษณะของเหลี่ยมที่ดูพิเศษและแปลกตา ออกแบบโดยนาย Christopher Slowinski ในปี 1998 จากอุบัติเหตุที่เขากำลังเจียระไนเพชรทรง Emerald แต่ดันเจียระไนพลาด โดยเฉือนมีดเจียรเข้าไปในเพชร ทำให้เกิดเป็นพื้นผิวพิเศษขึ้นมา

               โดยการเจียระไนเพชรแบบ Crisscut นี้ จะมีเหลี่ยมทั้งหมด 77 เหลี่ยม จากเหลี่ยมทั่วไปในเพชรทรง Emerald ที่มีแค่ 44 เหลี่ยม และสามารถใช้เทคนิคนี้มาเจียระไนเพชรได้กับทั้งเพชรทรง Emerald, Cushion, Asscher และเพชรทรงกลม

               โดยลักษณะของเหลี่ยมนี้ จะเป็นเหลี่ยมที่คาบเกี่ยวกันเป็นกากบาท สร้างมิติประกายของเพชรให้ดูโดดเด่นและแตกต่างกว่าเหลี่ยมเพชรแบบอื่นใด

7. Lily Cut

               “เหลี่ยมเพชร” ทรงนี้ถือเป็นทรงที่ดูอ่อนหวานและน่ารักที่สุด ด้วยการเจียระไนเพชรให้ออกมามีรูปแบบเหมือนดอกไม้หรือใบโคลเวอร์ 4 แฉก ซึ่งออกแบบโดย Lili Diamonds แห่งประเทศอิสราเอล ตั้งแต่ปี 2007 และเพชรทรงนี้ ได้ถูกนำมาใช้กับแบรนด์ฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Louis Vuitton ที่ก็มีสัญลักษณ์ แพทเทิร์นลายที่เป็นเอกลักษณ์หน้าตาคล้ายกัน เหลี่ยมเพชรทรงนี้จึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นชั้นสูงไปโดยปริยาย

               การเจียระไนเพชรทรงนี้ จะเจียระไนออกมาให้มีเหลี่ยมอยู่ที่ประมาณ 65 เหลี่ยมให้มีรูปทรงเป็นดอกไม้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ 2 แบบก็คือ ทรงดอกไม้กลีบกลมมน กับทรงดอกไม้กลีบแหลม

               อย่างไรก็ดี การเจียระไนเพชรทรงนี้ทำให้เสียเนื้อเพชรดิบไปเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ 25-50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว จึงทำให้แน่นอนว่าจะต้องมีราคาสูงกว่าเพชรทั่วไปในน้ำหนักกะรัตเท่ากันหลายเท่าตัว

8. PrincessPlus Cut

               “เหลี่ยมเพชร” แบบ PrincessPlus ถือเป็นเวอร์ชั่นที่ advanced มากไปกว่าเพชรทรง Princess ธรรมดา โดยถือกำเนิดขึ้นในปี 2000 โดย EFD ซึ่งเป็นผู้ผลิตเพชรทรง Princess ชื่อดัง

               การเจียระไนเพชรแบบ PrincessPlus จะเจียออกมาให้ได้เหลี่ยมถึงประมาณ 100-115 เหลี่ยม ซึ่งมากกว่าเหลี่ยมของเพชร Princess ทั่วไปที่จะอยู่ที่ประมาณ 58-68 เหลี่ยมเท่านั้น โดยจะมีรายละเอียดที่ถี่ขึ้นในส่วนของฐานเพชรและส่วนด้านบนของเพชร ที่ทำให้เหลี่ยมเพชรทรงนี้จะเปล่งประกายได้มากกว่าเพชร Princess ธรรมดาที่มีคุณภาพสีและความสะอาดใกล้เคียงกันได้มากถึง 20%

               และถ้าหากคุณซื้อเพชรทรงนี้ คุณก็จะได้รับ “Light Return Analysis” Certificate เพิ่มมาอีก 1 ใบเพื่อการันตีถึงความสามารถเปล่งประกายของเพชรอันเป็นผลมาจากการเจียระไนเพชรอย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง

9. Bead Cut

               แม้ไม่ใช่ Branded Diamond Cut แต่เหลี่ยมเพชร ทรง Bead Cut เรียกได้ว่าแตกต่างจากเหลี่ยมเพชรแบบอื่นอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากตัวเพชรจะถูกเจียระไนให้มีลักษณะกลมเหมือนลูกไฟดิสโก้ เพื่อที่จะนำไปทำเป็นลูกปัด การเจียระไนเพชรแบบนี้อาจจะเรียกได้ว่าก็เพื่อการทำ “ลูกปัดเพชร” สำหรับมาร้อยเป็นสร้อยคอเพชรหรือสร้อยข้อมือเพชรในแบบไม่เหมือนใครนั่นเอง

               เพชรทรง Bead Cut มีได้หลากหลายรูปแบบและขนาด โดยที่จะมีการเจียระไนเพชรเป็นเหลี่ยมไว้โดยรอบรูปทรงนั้น ไม่มีหน้าตัด ไม่มีก้นเพชร และมักถูกเจียระไนจากเพชรชนิดพิเศษที่มีรูปร่างเกือบเป็นทรงกลม
สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องคำนึงในการซื้อเพชรแบบ Bead Cut ก็คือรูที่เจาะอยู่ตรงกลางลูกปัดเพชร ที่จะต้องมีขนาดเล็กมากๆ เพื่อสามารถให้ด้ายร้อยผ่านเข้าไปได้ ถ้าหากรูตรงกลางมีขนาดใหญ่ก็จะส่งผลต่อประกายแวววาวของเพชร ทำให้เพชรดูหมองลงได้ค่ะ

“เหลี่ยมเพชร” มีแบบหลากหลายกว่าที่คุณคิด

               ถือเป็นเรื่องสนุกดีเหมือนกันนะคะในการศึกษาเรื่องเพชรให้ลึกลงมามากกว่าแค่เรื่องพื้นฐาน แม้ว่าเพชรเหล่านี้จะเป็นเพชรทรงที่หายากและมีราคาสูงก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า งาน Fine Jewelry ถือเป็นหนึ่งในงานศิลป์ที่มีช่างศิลป์มากมายพยายามจะสรรสร้างเพชรแบบต่างๆออกมาให้ดูโดดเด่นและเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

               แม้เพชรที่มีในวงการเพชรของไทยจะไม่ได้มีเพชรหายากขนาดนั้น แต่คุณเองก็สามารถรังสรรค์แบบแหวนเพชร ได้หลากหลายแบบไม่รู้จบจากแบบ “เหลี่ยมเพชร” มาตรฐานที่มีอยู่เช่นกัน และถ้าหากคุณสนใจอยากออกแบบแหวนเพชรและสั่งทำแหวนเพชรในแบบของคุณ ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับทีมงานเพชรชมพูได้เลยนะคะ

14 August 2019 5397
add line petchchompoo