GIA คือสถาบันอัญมณีศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแล็บอันดับหนึ่งของโลก เป็นผู้คิดค้นระบบการให้เกรดเพชร หรือที่เรารู้จักกันในนาม 4C's
Q : ใบเซอร์ GIA คืออะไร
A : ใบเซอร์ GIA หรือ GIA Certificate คือใบรับรองคุณภาพเพชรที่ออกโดยสถาบัน GIA จะเป็นเหมือนรายงานบอกว่าเพชรเม็ดนั้นๆมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง ทั้งในเรื่องของขนาด (น้ำหนัก), ความขาว, ความสะอาด, การเจียระไน
Q : เพชรเซอร์ GIA แพงกว่าเพชรไม่มีใบเซอร์ จริงมั้ย
A : ถ้าเพชรทั้ง 2 เม็ดนั้นมีคุณภาพเดียวกัน เพชรใบเซอร์ GIA จะราคาสูงกว่าเพียงค่าใช้จ่ายในการออกใบเซอร์เท่านั้นค่ะ (ไม่กี่พันบาท) แต่โดยส่วนมากเรามักจะเห็นเพชรไม่มีเซอร์ราคาถูกกว่ามากๆ นั่นเป็นเพราะคุณภาพเพชรที่ด้อยกว่าเช่นกันค่ะ
Q : เพชรมีใบเซอร์ GIA แปลว่าเพชรสวยทุกเม็ดเลยรึเปล่า
A : ไม่แน่เสมอไปค่ะ เพราะใบเซอร์ GIA นั้นเพียงแค่รับรองว่าเพชรเม็ดนั้นเป็นเพชรแท้แน่นอน แต่จะมีคุณลักษณะอย่างไร หรือผ่านการปรับปรุงคุณภาพมารึเปล่า จะต้องอ่านรายละเอียดในใบเซอร์ดูค่ะ
ใบเซอร์ GIA จะมี 2 แบบ คือแบบเต็มรูป (Grading Report) และแบบย่อ (Dossier)
สำหรับใบเซอร์แบบเต็มรูปนั้น จะมีบอกตำแหน่งของตำหนิภายในเนื้อเพชรด้วย (Plots of Clarity Characteristics) ซึ่งโดยส่วนมากจะใช้สำหรับเพชรไซส์ 1 กะรัตขึ้นไปค่ะ
ส่วนใบเซอร์แบบย่อนั้น จะใช้สำหรับเพชรขนาดเล็กกว่า 1 กะรัต ซึ่งจะมีรายละเอียดทุกอย่างเหมือนกับใบเซอร์แบบเต็มรูป ยกเว้นแต่ไม่มีพล็อตบอกว่าตำหนิอยู่ที่ตรงไหนของตัวเพชร (จะบอกเพียงว่าตำหนินั้นเป็นชนิดอะไรบ้าง)
เรามาดูวิธีการอ่านใบเซอร์ GIA กันนะคะ
โดยเริ่มจากส่วนแรก จะมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- วันที่ออกใบเซอร์
- เลขที่ใบเซอร์ (เป็นเลข 10 หลัก) ซึ่งจะต้องตรงกันกับเลขเลเซอร์บนขอบเพชร
- รูปทรงของเพชร เช่น เป็นทรงกลม หัวใจ หยดน้ำ ฯลฯ
- ขนาดของเพชร (กว้าง x ยาว x สูง)
ถัดลงมาจะเป็นคุณลักษณะของเพชร ซึ่งจะสวยหรือไม่สวยต้องอ่านใบเซอร์ตรงจุดนี้ให้เป็นค่ะ ได้แก่
Carat Weight = น้ำหนักของเพชร
Color Grade = ระดับสีหรือความขาวของเพชร โดยเริ่มจาก D = เพชรน้ำ 100 คือเป็นเพชรที่ขาวใสไร้สี, E = น้ำ 99, F = น้ำ 98 และไล่เรียงมาเรื่อยๆตามลำดับ
Clarity Grade = ระดับความสะอาด มีเกรดดังนี้ค่ะ
- Flawless, Internally Flawless คือไม่มีตำหนิ
- vvs1 และ vvs2 คือมีตำหนิระดับเล็กมากๆ ถ้าไม่ชำนาญก็ส่องเห็นได้ยากสุดๆ ยกเว้นจะดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
- vs1 และ vs2 คือมีตำหนิเล็กๆ ยังไม่เห็นด้วยตาเปล่า ถ้าส่องด้วยกล้องขยาย 10x ก็อาจจะพอเห็นได้บ้าง
- si1-3 คือมีตำหนิพอสมควรและอาจจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
- i1 และ i2 คือมีตำหนิมากและเห็นได้ด้วยตาเปล่า
Cut Grade คือคุณภาพการเจียระไน สัดส่วนของตัวเพชร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบอกได้ว่าเพชรจะเล่นไฟสวยหรือไม่ (สำหรับเพชร Fancy Shape จะไม่มีการให้เกรดในด้านนี้ค่ะ)
- Polish คือคุณภาพความเงาวาวที่พื้นผิวภายนอกของเพชร
- Symmetry คือความสมมาตรของเพชร
- Fluorescence คือระดับสารฟลูออเรสเซนท์ หรือสารเรืองแสงภายใต้แสง UV ซึ่งถ้ามีเยอะ อาจทำให้เพชรดูมัว
- Inscription(s) คือข้อความที่สลักไว้บนขอบเพชร โดยทั่วไปจะเป็นคำว่า GIA และเลขที่ใบเซอร์ 10 หลัก นอกจากเพชรเม็ดนั้นๆจะมีสลักข้อความอื่นเพิ่มเติม ก็จะมีระบุเอาไว้ค่ะ
Clarity Characteristics หรือลักษณะตำหนิภายในตัวเพชร
สำหรับใบเซอร์ใบเล็ก (Dossier) จะมีบอกเพียงว่าเพชรมีตำหนิชนิดไหนบ้าง แต่จะไม่ได้มี Plot ให้ดูว่าอยู่ในตำแหน่งไหนและขนาดเป็นอย่างไร
ส่วนใบเซอร์แบบเต็มรูปจะมี Plot บอกเอาไว้เลยว่าตำหนิมีกี่ที่ ขนาดเล็กหรือใหญ่ อยู่ ณ ตำแหน่งไหนบ้าง
ท้ายสุดของใบเซอร์จะมี Security Feature เป็นเหมือนสัญลักษณ์การันตีว่าใบเซอร์นี้เป็นของแท้จาก GIA แน่นอนค่ะ
เพชรมีใบเซอร์ GIA ดียังไงมาดูกัน
เมื่อได้รู้เทคนิคการอ่านใบเซอร์ในเบื้องต้น รวมถึงถาม-ตอบ ไขข้อข้องใจต่างๆ กันไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราจะมาสรุปให้ดูว่า ข้อดีของการมีใบเซอร์ GIA มีอะไรบ้างเพื่อที่ทุกคนจะได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีใบเซอร์มากขึ้น จำไว้เสมอว่าซื้อเพชรต้องมีใบเซอร์
1.ได้เพชรแท้แน่นอน
ข้อดีของการมีใบเซอร์อย่างแรกเลย คุณมั่นใจได้เลยว่าเพชรที่ซื้อเป็นเพชรแท้แน่นอน ไม่โกหกจกตา โดยปกติคนซื้อเพชรที่ไม่มีประสบการณ์จะแยกระหว่างเพชรแท้กับเพชรเทียมออกจากกันยากหรือแยกแทบไม่ออกเลย หากใช้วิธีสังเกตด้วยตาเปล่า บางร้านเอาเพชรเทียมหรือเพชรสังเคราะห์มาหลอกขายในราคาสูงหรือทำเป็นลดราคาต่ำเพื่อกระตุ้นความสนใจ ดังนั้น การมีใบเซอร์ที่ออกโดยสถาบัน GIA ทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าเพชรที่ซื้อมาแท้แน่นอนป้องกันการถูกหลอก
2.จ่ายในราคาคุ้มค่า
ถ้าคุณซื้อเพชรที่ไม่มีใบเซอร์จะทำให้เปรียบเทียบความคุ้มค่าได้ยากเพราะคุณไม่รู้เลยว่า เพชรเม็ดไหนเกรดดีกว่า ถ้ามีใบเซอร์ทุกอย่างจะง่ายขึ้น อย่างเช่น เพชร 1 กะรัต เมื่อคุณอ่านใบเซอร์แล้วรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นเพชรเกรดดี เพชรน้ำร้อย D Color เพชรที่มี 3 Excellent แล้วถ้าคุณบังเอิญเจอเพชรอีกหนึ่งเม็ดที่ขายราคาเท่ากันแต่มีเพียง 2 Excellent แถมยังเป็นเพชร E Color คุณจะรู้ได้ทันทีเลยว่าซื้อเพชรเม็ดแรกคุ้มกว่า
3.ได้คุณภาพตรงตามความเป็นจริง
ถ้าไม่มีประสบการณ์หรือไม่ได้มีความชำนาญด้านเพชรแล้วซื้อเพชรไม่มีใบเซอร์ต้องอาศัยความเชื่อใจคนขายมากๆ เช่น ถ้าคนขายบอกว่าเพชรเกรดดีหรือเพชรน้ำ 100% ในความเป็นอาจเป็นเพียง 98% ซึ่งราคาแตกต่างกันเยอะพอสมควรทำให้คุณต้องจ่ายแพงสวนทางกลับคุณภาพที่ได้ แต่ถ้าเพชรมีใบเซอร์ที่ออกโดนสถาบันน่าเชื่อถือ เช่น GIA, HRD หรือ IGI จะระบุรายละเอียด 4C’s of Diamonds ไว้ชัดเจนซึ่งหลอกกันไม่ได้
4.ซื้อก็ง่ายขายก็คล่อง
ทำไมต้องซื้อเพชรที่มีใบเซอร์ ก็เพราะเพชรเหล่านั้นซื้อง่ายขายคล่องเป็นที่ต้องการของตลาด คนที่ซื้อต่อคุณไปมั่นใจว่าเป็นเพชรแท้ ดังนั้น ถ้าคุณจะซื้อเพชรเพื่อหวังเก็งกำไรควรมีใบเซอร์รับรองด้วย ไม่ใช่การซื้อขาย ขายคล่องอย่างเดียวแต่ขายแล้วยังได้ราคาดีแถมเอาไปจำนำแล้วได้ราคาสูงด้วย
สถาบัน GIA สถาบันอัญมณีศาสตร์ของอเมริกาทั่วโลกให้การยอมรับ ผู้คิดค้นหลักการแบ่งเกรดเพชรด้วย 4C’s of Diamonds ซื้อเพชร อย่าลืมว่าต้องมีใบเซอร์ที่สำคัญควรอ่านใบเซอร์ให้เป็นด้วยจะได้ไม่โดนหลอก ทำไมต้องศึกษาใบเซอร์ อ่านใบเซอร์ให้เป็น ไม่ได้ทำเพื่อใครแต่เพื่อผลประโยชน์ต่อตัวคุณเอง